๗. กัฏฐหาริชาดก (ว่าด้วยหญิงขายฟืน)

(๗) กัฏฐหาริชาดก (ว่าด้วยหญิงขายฟืน)

            พระศาสดาทรงปรารภซึ่งเรื่องนางวาสภขัตติยา มเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ท้าวเธอหาได้ทราบไม่ว่านางนั้นเป็นบุตรแห่งทาสี จนกระทั่งมีพระโอรสองค์หนึ่งท้าวเธอจึงทราบ แล้วได้ปลดอัครมเหสีออกจากตำแหน่งพร้อมทั้งโอรส แล้วได้กราบทูลต่อพระบรมศาสดา ๆ จึงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร อันโคตรแซ่ฝ่ายมารดาย่อมไม่สำคัญ สำคัญแต่ฝ่ายบิดาเท่านั้น  ในปางก่อนก็เคยมีมาแล้ว พระองค์จึงตรัสว่าดูก่อนมหาบพิตร ในอดีตกาลที่ล่วงมาแล้ว ในกรุงพาราณสีมีพระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้าพรหมทัต วันหนึ่ง พระองค์พร้อมด้วยราชบริพารเสด็จไปประพาสพระราชอุทยาน ได้ทรงทัศนาการเห็นหญิงหาบฟืนขายคนหนึ่ง ซึ่งยังเป็นดรุณกุมารี ไปเที่ยวหาบฟืนอยู่ในพระราชอุทยานแต่ลำพังผู้เดียว พระองค์ก็ทรงมีพระราชหฤทัยรักใคร่ในนางนั้น ได้ร่วมอภิรมย์กับนางนั้นสมดังพระราชประสงค์ แล้วทรงถอดพระธำมรงค์วงหนึ่งออกพระราชทานแก่นางนั้น ด้วยมีพะราชองค์การตรัสสั่งว่า เจ้าจงรักษาตัวให้จงดี ถ้ามีบุตรีขึ้นมาด้วยได้ร่วมอภิรมย์กับเราในคราวนี้ เจ้าจงขายซึ่งธำมรงค์นี้เลี้ยงชีพไป ถ้าเจ้ามีบุตรชายจงนำธำมรงค์นี้กับบุตรเข้าไปหาเรา เราจักตั้งให้เป็นอัครมเหสี ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ก็เสด็จกลับสู่พระราชวัง ฝ่ายหญิงหาบฟืนนั้นก็ได้ตั้งครรภ์ขึ้น ครั้นอยู่ต่อมาถ้วนกำหนดทศมาส ๑๐ เดือน นางนั้นก็คลอดบุตรมาเป็นชาย มีรูปร่างอันบริสุทธ์ผุดผ่อง ดุจหนึ่งทองคำธรรมชาติ เมื่อบุตรเจริญวัยวัฒนามีพระชันษาประมาณ ๔-๕ ขวบ นางก็นำบุตรเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าพรหมทัต ซึ่งเสด็จออกประทับในท่ามกลางอำมาตย์ราชมนตรี นางได้ถวายบังคมแล้วทูลว่า กระหม่อมฉันนำพระราชโอรสมาถวายพระองค์ตามพระราชโองการที่รับสั่งไว้  เมื่อท้าวเธอได้ทรงสดับก็ทรงรู้สึกละอายอำมาตย์ราชมนตรี จึงทรงปฏิเสธเสียว่า เรื่องนี้เป็นมาอย่างไรเราหารู้ไม่ นางจึงทูลเล่าเรื่องแต่เบื้องหลัง ครั้งเสด็จประพาสพระราชอุทยานให้ทรงทราบทุกประการแล้วนำพระธำมรงค์ของกลางออกถวาย แต่ท้าวเธอก็ทรงปฏิเสธเสียว่า พระธำมรงค์นี้ไม่ใช่ของเรา เด็กนี้ก็ไม่ใช่บุตรของเรา เมื่อนางนั้นได้สดับพระราชโองการปฏิเสธเสียดังนั้น ก็ให้อัดอั้นตันใจไม่รู้จะทำประการใด จึงคิดแต่ในใจว่า สิ่งอื่นนอกจากความสัตย์แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดจะเป็นพยานของเรา ครั้นนางคิดอย่างนี้แล้วจึงประณมหัตถ์อัญชลีขึ้นเหนือเศียรเกล้า ไหว้เทพเจ้าทั้งหลายผู้มีทิพโสตทิพจักษุญาณแล้วตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าเด็กนี้ไม่ได้เกิดกับพระเจ้าอยู่หัวแล้ว เมื่อข้าพเจ้าโยนขึ้นไปในอากาศขอให้ตกลงมาตาย ถ้าเกิดกับพระเจ้าอยู่หัวจริงแล้ว ขอจงให้เลื่อนลอยอยู่ในอากาศให้เห็นประจักษ์แก่อำมาตย์ราชมนตรีในกาลบัดนี้เถิด ครั้นนางกล่าวดังนี้แล้ว ก็โยนบุตรขึ้นในอากาศ ด้วยอำนาจความสัตย์ของนางบันดาลให้เห็นปรากฏเป็นอัศจรรย์ บุตรนั้นก็นั่งขัดสมาธิลอยอยู่บนอากาศ หมู่อำมาตย์ราชมนตรีจะเรียกร้องเชื้อเชิญสักเท่าใด กุมารนั้นก็ไม่ลงจากอากาศ ในครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าพรหมทัตขัตติยราชจึงตรัสประกาศว่า ถ้ากุมารนี้เป็นโอรสของเราจริง จงให้เลื่อนลอยลงมานั่งบนตักเราให้เห็นประจักษ์ในบัดนี้ ครั้นตรัสขาดคำลง กุมารนั้นก็ลอยลงมานั่งอยู่บนพระเพลาของพระองค์ พระองค์จึงทรงรับสารภาพตามเรื่องราวที่เป็นจริง แล้วทรงอภิเษกซึ่งนางนั้นให้เป็นเอกอัครมเหสี  ทรงตั้งกุมารนั้นให้เป็นมหาราช เมื่อพระองค์สวรรคตแล้วพระราชกุมารนั้น ก็ได้ทรงสืบราชสมบัติแทนต่อไปในกรุงพาราณสี มีนามว่าพระเจ้ากัฏฐวาหนราช

            ครั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเรื่องอดีตจบลงดังนี้แล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าพรหมทัตในครั้งนั้น ได้อุบัติบังเกิดมาเป็นสมเด็จพระเจ้าสุทโธทนมหาราชในบัดนี้ ส่วนหญิงหาบฟืนผู้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตในคราวนั้น ได้อุบัติมาเป็นพระนางสิริมหามายา พระราชกุมารอันเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัตในครั้งนั้น คือเราตถาคตในบัดนี้ ในชาดกนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นชัดว่า จารีตของโบราณบัณฑิตย่อมสืบตระกูลฝ่ายบิดาเป็นบรรทัดฐาน ดังนี้

            “ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ ข้าพระบาทเป็นโอรสของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งหมู่ชน ขอพระองค์ได้ทรงโปรดชุบเลี้ยงข้าพระบาทไว้ แม้คนเหล่าอื่น พระองค์ยังทรงชุบเลี้ยงได้ ไฉนจะไม่ทรงชุบเลี้ยงโอรสของพระองค์เองเล่า.”

กัฏฐหาริชาดก จบ.