เหตุปัจจัยให้เกิดเป็นกะเทย

 

กะเทย บาลีว่า บัณเฑาะก์ พจนานุกรมภาษาไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หน้า ๙๓ ให้ความหมายไว้ว่า คนที่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง, หรือว่าคนที่มีจิตใจและกิริยาอาการตรงข้ามกับเพศของตน

ในพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง ของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ พิมพ์ครั้งที่ ๓ พุทธศักราช ๒๕๒๑ มีในวินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวรรค ข้อ ๑๒๕, ๑๒๖, ๑๓๒ ดังมีข้อความต่อไปนี้ คือ

ข้อ ๑๒๕ มีความว่า… พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! อนุปสัมบัน (คนที่มิได้อุปสมบทหรืออุปสมบทโดยมิชอบ) คือ บัณเฑาะก์ (กะเทย) ภิกษุ (ภิกษุอุปัชฌาย์และหมู่พระนั่งอันดับ) ไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย (อุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพ)

ข้อ ๑๒๖ มีความว่า… พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ! อนุปสัมบัน (คนที่มิได้อุปสมบทหรืออุปสมบทโดยมิชอบ) คือ คนลักเพศ (คนปลอมบวชหรือบวชด้วยตนเองไม่มีอุปัชฌาย์บวชให้)ภิกษุ

(ภิกษุอุปัชฌาย์และหมู่พระนั่งอันดับ) ไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย (อุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพ)

ข้อ ๑๓๒ มีความว่า ก็โดยสมัยนั้น อุภโตพยัญชนกะ คนหนึ่งได้บวชในสำนักภิกษุ… พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! อนุปสัมบัน (คนที่มิได้อุปสมบทหรืออุปสมบทโดยมิชอบ) คือคนผู้เป็นอุภโตพยัญชนกะ (คนสองเพศ) ภิกษุ (ภิกษุอุปัชฌาย์และหมู่พระนั่งอันดับ) ไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย (อุปสมฺปนฺโน นาเสตพฺโพ)

สรุปความว่า คำว่า อุภโตพยัญชนกะ หมายถึง คนสองเพศ คือ มีอวัยวะทั้งเพศชายและหญิงอยู่ในคนเดียวกันเรียก อุภโตพยัญชนกะ บาลีไม่ได้เรียกว่า บัณเฑาะก์ หรือ กะเทย แต่อย่างใด

ส่วนคำว่า บัณเฑาะก์ นั้น จึงหมายถึง กะเทย คือ คนที่มีจิตใจและกิริยาอาการตรงข้ามกับเพศของตน มาในสมัยนี้มีชื่อเรียก กะเทยออกไปได้หลายอย่าง เช่น ขันที เกย์ ตู๊ด ทอม ดี้ เลสเบี้ยน คนหมันตามธรรมชาติหรือหมันเพราะการผ่าตัดทำหมันก็สงเคราะห์เข้าบัณเฑาะก์ด้วย

หนังสือสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระวินัย มหาวรรค ตอน ๑ ของมหามกุฏราชวิทยาลัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๗/๒๕๐๕ หน้า ๑๓๖ วินิจฉัยคำว่า “บัณเฑาะก์” นั้น มีอยู่ ๕ ชนิด คือ อาสิตตบัณเฑาะก์ ๑ อุสุยยบัณเฑาะก์ ๑

โอปักกมิยบัณเฑาะก์ ๑ ปักขบัณเฑาะก์ ๑ นปุงสกบัณเฑาะก์ ๑  

. อาสิตตบัณเฑาะก์ คือ กะเทยผู้มีน้ำอสุจิเป็นรสอาหาร หมายถึง กะเทยผู้มีรสนิยมในการอมของลับผู้อื่น แล้วก็ดื่มกินน้ำอสุจิของเขาเป็นรสอาหาร แล้วความกระวนกระวายทางอารมณ์จึงสงบลง นี่ก็กะเทยหนึ่ง

. อุสุยยบัณเฑาะก์ คือ กะเทยที่มีความริษยา ขึ้งเคียด ผูกโกรธ ชิงชัง  หมายถึง กะเทยผู้มีอุปนิสัยใจคอโหดเหี้ยม เมื่อมีอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นในใจ (อารมณ์เสีย) แต่ถ้าเห็นผู้อื่นประพฤติอัชฌาจาร (ประพฤติชั่วทางเพศ)  แล้วความกระวนกระวายทางอารมณ์จึงสงบระงับลง นี่ก็กะเทยหนึ่ง

. โอปักกมิยบัณเฑาะก์ คือ กะเทยผู้ยอมเจ็บปวดด้วยการถอนพืช หมายถึง กะเทยหญิงหรือชายก็ตาม ที่ไม่พอใจในอวัยวะเพศของตนที่ถือกำเนิดมาตามธรรมชาติ จึงยอมเจ็บปวดด้วยความเพียรพยายามตัดทิ้งไปเสีย (ตัดทิ้งหรือตอนหมัน) หรือดัดแปลง (ผ่าตัดแปลงเพศ) นี่ก็กะเทยหนึ่ง

. ปักขบัณเฑาะก์ คือ กะเทยเขยกหรือกะเทยปักษ์ หมายถึง สิ่งแวดล้อมที่โลกบัญญัติว่าเดือนหนึ่งมีอยู่ ๒ ปักษ์ ได้แก่ ปักษ์ข้างขึ้น ๑๕ วัน โดยนับตั้งแต่ขึ้น ๑ ค่ำถึงขึ้น ๑๕ ค่ำของทุก ๆ เดือน เรียกว่าปักษ์ข้างขึ้นหรือปักษ์แรก และนับตั้งแต่แรม ๑ ค่ำถึงแรม ๑๔ ค่ำหรือแรม ๑๕ ค่ำของทุก ๆ เดือน เรียกว่าปักษ์ข้างแรมหรือปักษ์หลัง

ในทางปฏิบัติจริงของกะเทยเขยกหรือกะเทยปักษ์นี้นั้น ได้แก่ กะเทยที่มีอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้ายก็ดี หรือมีอารมณ์ทางเพศก็ดี จะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งระหว่างเดือนข้างขึ้นกับข้างแรม หรือระหว่างกลางวันกับกลางคืน หรือระหว่างอยู่ในที่มืดกับอยู่ในที่สว่าง ดังนั้น อารมณ์เขาจึงเป็นเช่นคนขาพิการในขณะเดินก็เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ฉันใด

เหมือนกัน ปักขบัณเฑาะก์หรือกะเทยเขยกก็เป็นเช่นนั้น คือ เดือนข้างแรม  (กลางคืนหรือกลางวันแต่อยู่ในที่มืด) จะเกิดมีอารมณ์ทางเพศอย่างแรง ทำให้อารมณ์เร่าร้อนกระวนกระวายปรากฏขึ้น เพราะอำนาจแห่งอกุศลวิบากของเขาบันดาลให้เป็น แต่เมื่อถึงเวลาข้างขึ้น  (กลางวันหรือกลางคืนแต่อยู่ในที่มีแสงสว่าง)อารมณ์อันเร่าร้อนกระวนกระวายก็สงบลงเป็นปรกติ

๕. นปุงสกบัณเฑาะก์ คือ กะเทยไม่มีนิมิตของเพศ หมายถึง เครื่องหมายเพศของเขาไม่ชัดเจนในคราวปฏิสนธิ คือ ไม่ปรากฏว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิงจริง ๆ ดังนั้น จึงเรียกว่า นปุงสกบัณเฑาะก์

หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่  ๑๘  กันยายน ๒๕๔๕ ว่าด้วยเรื่อง Sex ผิดทาง เขียนโดย สันต์ หัตถีรัตน์ มีว่าเพศกะเทย ประกอบด้วย

๑. กะเทยแท้ (true hermaphrodite) อ่านว่า “ทรู เฮอร์แมพโฟรไดท์” คือ กะเทยผู้มีทั้งรังไข่และลูกอัณฑะในคนเดียวกัน และรูปลักษณะร่างกายภายนอกมีทั้งลักษณะของชายและหญิงปนกัน (อุภโตพยัญชนกะ)

๒. กะเทยเทียม (false hermaphrodite) อ่านว่า “ฟอลซ์ เฮอร์แมพโฟรไดท์” คือ กะเทยผู้มีอวัยวะเพศอย่างหนึ่ง แต่มีรูปลักษณะร่างกายภายนอกเป็นอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่

– กะเทยหญิง (female hermaphrodite) อ่านว่า “ฟีเมล เฮอร์แมพโฟรไดท์” คือ กะเทยผู้มีรังไข่ แต่รูปลักษณะร่างกายภายนอกเป็นชาย

– กะเทยชาย (male hermaphrodite) อ่านว่า “เมล เฮอร์แมพโฟรไดท์” คือ กะเทยผู้มีลูกอัณฑะ แต่รูปลักษณะร่างกายภายนอกเป็นหญิง

๓. กะเทยไม่มีเพศ (neuter or neutral hermaphrodite) อ่านว่า “นูเทอร์ ออร์ นูเทริล เฮอร์แมพโฟรไดท์”คือ กะเทยผู้ไม่มีทั้งลูกอัณฑะและรังไข่ แต่รูปลักษณะร่างกายภายนอกมักไม่ชัดเจนว่าเป็นเพศใด

๔. กะเทยแต่ง (transvestite) อ่านว่า “ทรานสเวสไทต์” คือ กะเทยผู้ชอบแต่งกายและทำตนในลักษณะที่ตรงกันข้ามกับเพศที่แท้จริงของตนนั่น คือ ชายทำตนเป็นหญิงหรือหญิงทำตนเป็นชายเรียกว่า “กะเทยแต่ง”และเขาเหล่านี้ชอบร่วมประเวณี (ร่วมเพศ) กับเพศเดียวกัน ถือว่าพวกรักร่วมเพศก็ไม่ผิด (homosexual)พวกที่เรียกตนเองว่า เกย์ (gay) ก็จัดอยู่ในคนกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย

๕. กะเทยแปลง (transsexual) อ่านว่า “ทรานส์เซ็กซ่วน” คือ กะเทยผู้ตัดหรือถูกตัดอวัยวะเพศของตนทิ้ง และตัดแต่งให้ร่างกายภายนอกมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายเพศตรงข้าม แต่จะไม่สามารถทำให้มีอวัยวะเพศที่แท้จริง คือ มีรังไข่หรือมีลูกอัณฑะได้ ผู้ที่ตัดรังไข่หรือลูกอัณฑะทิ้งไป จึงไม่สามารถมีบุตรที่เป็นเชื้อสายของตนได้ ดังนั้นจึงเรียกว่า กะเทยแต่ง

= เหตุหรือกรรมที่ทำให้เกิดเป็นกะเทย =

ในสุตตันตปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง ของ  กรมการศาสนา  กระทรวงศึกษาธิการ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๓ พุทธศักราช ๒๕๒๑ เล่ม ๖ มัชฌิมนิกาย  อุปริปัณณาสก์  ข้อ ๕๗๙  มีเนื้ความใน จูฬกัมมวิภังคสูตร ความว่า

…สัตว์ทั้งหลาย (คนด้วย)

๑. มีกรรมเป็นของของตน คือ เกิดมาเป็นกะเทยก็เพราะกรรมชั่ว (กาเมสุมิจฉาจาร + ปาณาติบาต ฆ่าสิ่งมีชีวิตและมีลมปราณ เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ เป็นต้น) ของตนที่ตนทำไว้แล้วแต่ปางก่อนติดตามมาให้ผลในปัจจุบัน

๒. เป็นทายาทแห่งกรรม คือ เกิดเป็นกะเทยก็เพราะได้รับมรดกตกทอดมาจากกรรมชั่ว(กาเมสุมิจฉาจาร +ปาณาติบาต ฆ่าสิ่งมีชีวิตและมีลมปราณ เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ เป็นต้น) ของตนที่ตนทำไว้แล้วแต่ปางก่อนติดตามมาให้ผลในปัจจุบัน

๓. มีกรรมเป็นกำเนิด คือ ที่ได้ถือกำเนิดเป็นกะเทย ก็เพราะกรรมชั่ว (กาเมสุมิจฉาจาร + ปาณาติบาตฆ่าสิ่งมีชีวิตและมีลมปราณ เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ เป็นต้น) ของตนผลักดันให้ได้กำเนิดมาในลักษณะเป็นกะเทยเช่นนี้

๔. มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ คือ ได้เกิดมาเป็นกะเทย เพราะบรรพบุรุษ หรือมารดาบิดาเป็นคนเผ่าพันธุ์นี้ (คือ เผ่าพันธุ์อมนุษย์ ประเภทคนธรรพ์ สำส่อนทางเพศ)

๕. มีกรรมเป็นที่พึงอาศัย คือ กรรมชั่ว (กาเมสุมิจฉาจาร + ปาณาติบาต ฆ่าสิ่งมีชีวิตและมีลมปราณ เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ เป็นต้น) จึงได้ความเป็นกะเทยเป็นที่พึ่งนำทางให้ตนมาเกิดในแม่พ่อผู้เป็นเผ่าพันธุ์อมนุษย์ประเภทคนธรรพ์นี้ได้

๖. กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้ คือ ความเลวของคนในทางจิตใจ ๖ ลักษณะ ได้แก่ จิตใจเป็นสัตว์นรก เปรต เดียรัจฉาน อสุรกาย อมนุษย์ มาร ความเลวด้านจิตใจเหล่านี้ ก็เพราะกรรมชั่วเป็นสิ่งที่จำแนกแจกมาให้เป็น ไม่ใช่ใครคนใดจะทำให้ได้

ส่วนความประณีตของคนในทางจิตใจ ๔ ลักษณะ ลดลั่นกันไปตามประเภทของกรรมดีที่ทำ ได้แก่ เกิดมาเป็นผู้มีจิตใจเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพระพรหม หรือเป็นพระอริยบุคคล ความประณีตเหล่านี้ที่จิตใจได้มาก็เพราะกรรมดีหรือกรรมไม่ดีไม่ชั่วเป็นสิ่งจำแนกแจกมาให้เป็น ไม่ใช่ใครคนใดจะทำให้ได้

= คนมีสิทธิ์เลือกทำกรรมได้ ๔ ประเภท =

๑. กุศลกรรมหรือกรรมดี ๑๐ อย่าง ชีวิตได้รับความประณีต ๓ ระดับ คือ มนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง พระพรหมบ้าง นานไปก็จะประสบความเจริญ ๗ อย่าง มีอายุวัฒฑโก อายุเจริญ เป็นต้น

๒. อกุศลกรรมหรือกรรมชั่ว ๑๐ อย่าง ชีวิตได้รับความเลวทราม ๖ ระดับ คือ สัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง เดียรัจฉานบ้าง อสุรกายบ้าง อมนุษย์บ้าง มารบ้าง  นานไปก็จะประสบภัยพิบัติ ๑๐ อย่าง มีราชภัย โจรภัย เป็นต้น

๓. อนันตริยกรรมหรือกรรมชั่วที่สุด ๕ อย่าง ชีวิตได้รับความเลวที่สุด คือ จะถูกแผ่นดินสูบ ได้แก่ ประสบอุปัตติภัย (อุบัติเหตุ) หลายรูปแบบจนทำให้เสียชีวิตกะทันหัน หรืออวัยวะพิการตลอดชาติ

๔. อัพยากตกรรมหรือกรรมไม่ดีไม่ชั่ว คือ วิปัสสนากัมมัฏฐานสายตรง ตามหลักสติปัฏฐาน ๔ จริง ๆ แล้ว ชีวิตได้รับผลเป็นอริยบุคคล มีพระโสดาบันอริยบุคคล เป็นต้น ดำรงชีวิตอยู่ใน “โลกุตตระ” คือ จิตใจพ้นจากโลกทั้งปวง

= ผลกรรมที่นำมาให้เกิดเป็นกะเทย =

อกุศลกรรมหรือกรรมชั่ว ๑๐ อย่าง เมื่อสัตว์หรือคนทำต่อเนื่องกันไปก็จะได้รับผลชั่วหลายรูปแบบ อาจจะได้รับมาจากอดีตบ้าง ได้รับในปัจจุบันบ้าง หรืออาจจะให้ผลไปได้รับในอนาคตบ้าง ในกรณีที่เกิดมาเป็นกะเทยในชาติปัจจุบันย่อมมีเหตุปัจจัยมาจากมารดาบิดาผู้ให้กำเนิดเป็นทุนมาก่อน แล้วมาทำอกุศลกรรม คือปาณาติบาต ฆ่าสิงมีชีวิตและมีลมปราณ เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ เป็นต้น ทำให้ได้ปัจจัยมาสนับสนุนเพิ่มเติมอีกใหม่ จึงเกิดผลกรรมเป็นกะเทยได้

๑. (เหตุ) ผู้เป็นมารดาก็ดี ผู้เป็นบิดาก็ดี ตั้งแต่เขาเกิดและดำเนินชีวิตมาจนถึงวันได้สมรสกันแล้วเกิดลูกคนนี้นั้น ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงได้ทำอกุศลกรรมหรือกรรมชั่วผิดศีลข้อที่ ๓ คือ กาเมสุมิจฉาจาร มาหลายครั้ง หรือผ่านการร่วมเพศกับเพศ ตรงข้ามหรือกะเทยหรือสัตว์เดียรัจฉานมาหลายคนหลายสัตว์ และหลายครั้งด้วย หรืออาจเคยทำแท้ง (เป็นฆาตกร) กับลูกในท้องมาหลายคนแล้วด้วย

การร่วมเพศกับเมียเขาก็ดี ผัวเขาก็ดี กะเทยก็ดี สัตว์เดียรัจฉานก็ดี หรือร่วมเพศกับหญิงอื่น ๆ ก็ดี กับชายอื่น ๆ ก็ดี  ซึ่งเป็นคนมีผู้อื่นหวงแหนอยู่ แม้จะสมยอมกันก็ตาม จัดว่าเป็นอกุศลกรรมหรือกรรมชั่วทางเพศสัมพันธ์ เป็นการประพฤติผิดศีลของมนุษย์ข้อ ๓ คือ กาเมสุมิจฉาจาร และบวกกับการทำปาณาติบาต ฆ่าสิ่งมีชีวิตและมีลมปราณ เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ เป็นต้น มาทำเป็นอาหารรับประทานประจำวันด้วย ทั้งหมดจิตก็บันทึกหรือจดจำไว้ แล้วติดตามมาให้ผลตามจังหวะและโอกาส

วันดีคืนดีก็มาแต่งงานกันและกำเนิดลูก แต่ปรากฏว่าลูกคนนี้มีชีวิต “วิบัติ” คือ เป็นกะเทยแบบใดแบบหนึ่ง หรือวิบัติเป็นอย่างอื่น เช่น มีอวัยวะพิการต่าง ๆ นานา หรืออวัยวะไม่สมประกอบ เป็นต้น (นี่ คือ กัมมพันธุ พันธุกรรมหรือกรรมพันธุ์ ซึ่งจัดว่าเป็นตัวเหตุ)

๒. (ปัจจัย) ที่ชายหรือหญิงได้ประพฤติผิดศีลข้อ ๓ นั้น เพราะแม่พ่อเขาเป็นคนเผ่าพันธุ์อมนุษย์ประเภทคนธรรพ์ เป็นตัวเหตุ และมีกรรมชั่วที่เป็นปัจจัยมาสนับสนุนอีก คือ ประพฤติผิดศีลข้อ ๑ ปาณาติบาต นิยมฆ่าสิ่งมีชีวิตและมีลมปราณประเภทไข่ไก่ ไข่เป็ด เป็นต้น ทำเป็นอาหารบริโภคประจำวันด้วย  กรรมชั่ว (รวมเหตุและปัจจัยเข้าด้วยกัน) ตัวนี้เองผลักดันให้ชีวิตมีอารมณ์เพศรุนแรงทำให้มัวเมา สำส่อน และมั่วสุมในเพศตรงข้าม (คนธรรพวิวาห์) เมื่อถึงคราวจะให้ลูกเกิดเขาก็จึงเกิดมาเป็นชีวิตวิบัติต่าง ๆ นานา มีกะเทยบ้าง อวัยวะพิการบ้าง ร่างกายไม่สมประกอบบ้าง เป็นต้น

รวมความว่า ชีวิตเกิดมาเป็นกะเทยหรือ อุภโตพยัญชนกะ ทุกรูปแบบเป็นวิบากหรือผลของอกุศลกรรม ๑๐ อย่าง โดยที่ทำมากและบ่อยที่สุด คือ ปาณาติบาต ฆ่าสัตว์มีชีวิตและมีลมปราณ เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ ไข่นก เป็นต้น พร้อมกับนิยมทำ กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติผิดในเพศทุกรูปแบบดังที่กล่าวมาแล้วนั้น หรือมีรสนิยมด้าน คนธรรพวิวาห์ เป็นพิเศษในชีวิตจริง ๆ จึงได้รับวิบากหรือผลกรรมเช่นนี้

= การแก้ไขและป้องกัน =

๑. (ด้านป้องกัน) ตัวใครตัวมันไปศึกษาหาความรู้เรื่องกรรม ๔ ประเภท ที่ใคร ๆ มีสิทธิ์นำมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ และไปศึกษาจากอาจารย์ผู้เป็นสัตบุรุษ ที่รู้จักผิด ชอบ ชั่ว ดี จริง ๆ ด้วย เมื่อรู้แล้วจะได้คัดเลือกปฏิบัติเฉพาะกุศลกรรมหรือความดี อัพยากตกรรมหรือความไม่ดีไม่ชั่ว เท่านั้น ส่วนอกุศลกรรมหรือความชั่ว อนันตริยกรรมหรือความชั่วที่สุดนั้น ต้องงดเว้นอย่างเด็ดขาด ลูกที่เกิดมาจึงจะไม่เป็นคนวิบัติแต่อย่างใด

การอ่าน ฟัง คิด นึก ตรึกตรอง วิจัยวิจารณ์ แล้วนำมาเว้นชั่วทำดีด้วยตนเองนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ในบางอย่าง เช่น สุรา บุหรี หมาก เป็นต้น แต่บางอย่างเป็นไปไม่ได้แน่ เช่น เรื่องกะเทย เป็นต้น หากจะถามว่า ใครเป็นสัตบุรุษและอยู่ที่ไหนนั้น ตอบว่า บุญหรือความดีของตนจะนำพาไปให้พบเอง หากขาดบุญก็จะไม่พบไม่เห็นสัตบุรุษตัวจริง หรือแม้ได้พบและเห็นแล้วก็ยอมรับไม่ได้

๒. (ด้านแก้ไข) เมื่อชีวิตใครเกิดมาเป็นกะเทยแล้ว หากยังเล็กอยู่ให้แม่พ่อรีบไปปรึกษากับสัตบุรุษท่านจะแนะแนวทางในการเลี้ยงดู ความเป็นกะเทยจะได้เบาบางลงไปหรืออาจหายได้ แต่ถ้าเป็นกะเทยที่โตแล้วก็ไปปรึกษาสัตบุรุษได้ เพื่อให้ท่านช่วยหาข้อมูลหรือหาเหตุปัจจัยให้พบ และแนะนำการดำรงชีวิตให้อยู่ในร่องรอยแห่งความเป็นสุภาพเรียบร้อยของกะเทย เพื่อเป็นการยอมรับกรรมตัวนี้แล้วจะได้พ้นไปเร็ว ๆ ได้ 

ด้วยความปรารถนาดี

ธัมมิกะ

watnongriewnang@gmail.com

๑๙  กันยายน  ๒๕๕๑