๓๓. สัมโมทมานชาดก (ว่าด้วยพินาศเพราะทะเลาะกัน)

          พระบรมศาสดาทรงปรารภซึ่งหมู่พระประยูรญาติอันเกิดวิวาทกัน แล้วมารับสั่งให้หาพระญาติมาประชุม เมื่อหมู่พระญาติมาพร้อมกันแล้ว จึงประทานพระพุทธโอวาทว่า ดูก่อนมหาราชทั้งหลาย การวิวาทกันย่อมเป็นการไม่สมควร สัตว์ดิรัจฉานในปางก่อน เมื่อเวลายังถูกต้องกัน ก็ยังช่วยกันป้องกันอันตรายได้ เมื่อเกิดวิวาทกันขึ้นก็ถึงความพินาศใหญ่หลวง ครั้นตรัสดังนี้แล้วจึงทรงแสดงเรื่องอดีตว่า ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัต ผ่านราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี มีนกกระจาบฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า นกกระจาบฝูงนั้นมีจำนวนหลายพัน มีนกกระจาบเป็นนายฝูงอยู่ตัวหนึ่ง ครั้นต่อมามีนายพรานคนหนึ่งเอาข่ายไปดักนกกระจาบเหล่านั้นได้วันละหลายตัว จนนกกระจาบเหล่านั้นบางลงไปเป็นลำดับ นกกระจาบที่เป็นนายฝูงเมื่อเห็นบริวารของตนบางลงไปเช่นนั้น ก็พิจารณาเหตุผล เมื่อทราบว่านายพรานคนหนึ่งนำข่ายมาแอบดัก จึงเรียกบริวารทั้งหลายมาประชุมกัน แล้วประกาศให้ทราบทั่วกันว่านับแต่วันนี้ไปเมื่อพวกเราติดข่ายนายพรานควรพร้อมกันเอาศีรษะลอดตาข่าย แล้วช่วยกันบินโดยแรงยกข่ายขึ้นไปครอบไว้บนยอดไม้ แล้วพากันบินหลบลงมาข้างล่างจงทุกครั้งทุกคราวไป นกทั้งหลายที่เป็นบริวารก็กระทำตามคำสั่งของนายฝูง ในเวลาที่ติดข่ายของนายพรานก็พร้อมเพรียงกันยกข่ายขึ้นไปครอบไว้บนต้นไม้แล้วหลบหนีลงมาข้างล่าง ทำให้นายพรานหมหนทาง  นับแต่นั้นมานายพรานป่าก็ได้กลับไปบ้านมือเปล่าทุกวัน ฝ่ายภรรยาที่อยู่ทางบ้าน ก็เข้าใจว่าสามีมัวแต่ไปติดพันผู้หญิงไม่เอาใจใส่ต่อการทำมาหากิน บางวันก็ด่าสามีว่าเอานกไปปรนชู้เสียหมดทำให้ลูกเมียทางบ้านอดอยาก เมื่อนายพรานถูกภรรยาต่อว่าดังนี้ ก็ชี้แจงให้ภรรยาฟังตามความจริงว่าบัดนี้ฝูงนกกระจาบมันฉลาดในอุบายวิธี เวลาติดข่ายมันช่วยพากันยกข่ายขึ้นทอดไว้บนต้นไม้ ทำให้ตัวพี่ต้องปีนป่ายขึ้นไปปลดข่ายอย่างแสนลำบากทุกวัน แต่ไม่วันใดวันหนึ่งมันคงจะเกิดวิวาทกัน แล้วเราก็จักจับมันได้เหมือนดังที่เคยมา ครั้นบอกภรรยาดังนี้แล้ว จึงกล่าวขึ้นว่า

สมฺโมทมานา  คจฺฉนฺติ                   ชาลมาทาย   ปกฺขิโน

ยทา   เต   วิวทสฺสนฺติ             ตทา   เอหินฺติ  เม   วสนฺติ

          แปลว่า นกทั้งหลายพร้อมกันหอบเอาตาข่ายไปได้ เมื่อมันเกิดวิวาทกัน มันก็จะตกอยู่ในอำนาจของเราเมื่อนั้น ดังนี้  ต่อมาอีก ๒ – ๓ วัน เวลาฝูงนกกระจาบลงมาหากินอยู่ที่พื้นดิน มีนกกระจาบตัวหนึ่งซึ่งไม่ทันสังเกตเห็นก็บินลงไปเหยียบหัวนกกระจาบอีกตัวหนึ่งโดยไม่เจตนาเมื่อรู้ว่าตัวผิดก็ขอโทษ แต่นกกระจาบตัวนั้นได้ถือเป็นเครื่องโกรธเคือง แล้วเลยเกิดทะเลาะกันขึ้น นายฝูงจักห้ามปรามสักเท่าใดก็ไม่เชื่อฟัง ต่างตัวต่างก็อวดกำลังวังชาว่าเอ็งไม่ตายก็เพราะข้ายกข่าย อีกตัวหนึ่งก็คัดค้านว่า ข้าก็เหมือนกัน นับแต่ข้ายกข่ายมาจนปีกเหี้ยนข้ายังไม่เคยเห็นใครสามารถไปกว่าข้า ฝ่ายบรรดานกกระจาบทั้งหลายก็แยกกันเป็น ๒ พวก คือเข้าข้างโน้นบ้างเข้าข้างนี้บ้าง เมื่อนายพรานได้สังเกตเห็นกิริยาเช่นนี้ก็รู้ได้ทันทีว่านกเหล่านี้แตกสามัคคีกันแล้ว พรุ่งนี้แลมันจะตกอยู่ในอำนาจของเรา ในเวลากลางคืนพญานกกระจาบที่เป็นนายฝูง เมื่อเห็นว่าจะอยู่ต่อไปก็จะพาญาติวงศ์พงศ์พันธุ์ถึงความพินาศเพราะความวิวาทแห่งบริวารเป็นต้นเหตุ พอถึงเวลาเที่ยงคืน พญานกกระจาบก็ชักชวนหมู่ญาติ บินหนีไปเสียจากนิวาสสถานที่นั้น ยังเหลืออยู่แต่พวกบริวารที่ทะเลาะกัน รุ่งเช้าขึ้นนายพรานก็รีบแบกข่ายไปคอยดักไว้ ในที่นกกระจาบเหล่านั้นลงมาหากิน เมื่อฝูงนกกระจาบลงหากินพร้อมกันแล้ว  นายพรานจึงกระตุกข่าย ตลบเอานกกระจาบเหล่านั้นไว้ นกกระจาบเหล่านั้นเวลาติดข่ายก็ได้แต่เถียงกันว่าใครอวดดีก็จงยกข่ายเถิดดังนี้เป็นโกลาหล ฝ่ายนายพรานก็ได้รีบจับปีกหางหักใส่ตะกร้านำไปให้ภรรยาฆ่าทำเป็นอาหารสู่กันกินบ้าง นำไปขายในตลาดบ้าง นกกระจาบเหล่านั้นก็ถึงซึ่งความพินาศสิ้นด้วยกัน  ครั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงจบลงแล้ว จึงทรงสั่งสอนพระประยูญาติ ทั้งหลาย ให้ตั้งอยู่ในสามัคคีธรรม แล้วทรงประชุมชาดกว่า นกกระจาบที่เป็นพาลในครั้งนั้น ได้มาเกิดเป็นพระเทวทัตในบัดนี้ ส่วนพญานกกระจาบที่เป็นบัณฑิต  ได้เกิดมาเป็นเราตถาคตนี้เอง ดังนี้ ในชาดกนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าการแตกร้าวกันเป็นเหตุให้ถึงความพินาศ ส่วนความพร้อมเพรียงถูกต้องปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  ย่อมเป็นเหตุให้มีแต่ความสุขความเจริญ ไม่มีศัตรูหมู่ปัจจามิตรจะมาคิดทำร้ายได้ ถ้าแตกสามัคคีกันในคราวใด ศัตรูก็ได้ช่องในคราวนั้นเหมือนดังเรื่องนกกระจาบเป็นตัวอย่าง ดังนี้.

นกทั้งหลายพร้อมเพรียงกันพาเอาข่ายไป เมื่อได พวกมัน

ทะเลาะกัน เมื่อนั้น  พวกมันจักตกอยู่ในอำนาจของเรา.”

จบสัมโมทมานชาดก.