๗๕. มัจฉาชาดก (ว่าด้วยปลาขอฝน)

            พระบรมศาสดาทรงปรารภฝนที่พระองค์ทำให้ตกเป็นต้นเหตุ มีเรื่องปรากฏมาว่า ในครั้งนั้นเกิดฝนแล้งทั่วประเทศโกศล พระพุทธองค์หวังจะช่วยเปลื้องทุกขภัยแก่คนและสัตว์ทั้งหลาย ในเวลาเที่ยงวันนั้น พระองค์ได้เสด็จไปทรงยืนที่ขั้นบันไดอันมีในสระโบกขรณีในพระเชตวนาราม รับสั่งกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์จงนำผ้าสรงน้ำมาเราจะสรงน้ำในสระโบกขรณีนี้ พระอานนท์ได้ทูลคัดค้านว่าน้ำในสระโบกขรณีไม่มี  มีอยู่แต่โคลนตมเท่านั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์กำลังของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นกำลังอันใหญ่หลวงเธอจงนำผ้าสรงน้ำมาให้แก่เรา พระเถรเจ้าก็มิได้ล่วงคำสั่ง ได้นำผ้าสรงน้ำไปถวายโดยเร็วพลัน พระองค์ทรงรับแล้วจึงทรงนุ่งเสียชายหนึ่ง ทรงสะพักเฉียงพระเศียรเสียชายหนึ่ง แล้วตรัสว่า เราจะอาบน้ำในสระโบกขรณีนี้

            ขณะนั้นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกเทวราช ก็แสดงอาการเร่าร้อนจึงเล็งเห็นด้วยทิพพเนตร ได้ตรัสสั่งวัสสวลาหกเทวราชว่า บัดนี้สมเด็จพระมุนีนาถศาสดาจะสรงอุทกวารี เธอจงรีบบันดาลให้วัสโสทกตกทั่วราชอาณาจักรแห่งประเทศโกศลโดยเร็วพลัน เมื่อวัสสวลาหกเทวราช ได้รับเทวบัญชาแล้วก็บันดาลให้ฝนห่าใหญ่ตกลงทั่วทั้งประเทศโกศล มีอาการดุจเทน้ำออกจากหม้อฉะนั้น ในครู่เดียวน้ำก็ท่วมทั่วราชอาณาจักรโกศล สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ก็ทรงสรงน้ำในสระโบกขรณี เสร็จแล้วเสด็จขึ้นประทับที่พระคันธกุฎี ดูเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักหนา ครั้นถึงเวลาเย็น ภิกษุสงฆ์ก็ประชุมกันสรรเสริญซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระพุทธองค์ในเรื่องนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ได้เคยมีมาแล้วแต่ในอดีตกาล ครั้นตรัสดังนี้แล้ว จึงทรงแสดงเรื่องอดีตว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเวลาล่วงแล้วมา มีลำห้วยแห่งหนึ่ง ล้อมไปด้วยต้นไม้ กอหญ้าลดาวัลย์ อยู่ตรงกันกับสระโบกขรณีนี้ ในลำห้วยนั้นมีปลาอยู่เป็นอันมาก ในครั้งนั้นเกิดฝนแล้ง สัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในน้ำก็เป็นอาหารแห่งนกและกาทั้งหลาย ฝ่ายพญาปลาที่เป็นนายฝูงจึงคิดว่า นอกจากเราแล้วไม่มีใครจะเป็นที่พึ่งแก่ญาติทั้งหลายได้ ควรเราจะทำสัจจกิริยาให้ฝนตกลงมาจงได้ ครั้นคิดแล้วพญาปลาอันมีสีกายดังดอกอัญชัญซึ่งซ่อนอยู่ใต้โคลน จึงแหวกโคลนขึ้นมาลืมตาซึ่งมีสีแดงดุจดังแก้วมณีขึ้นไปในอากาศ  แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ปชุนนเทวราช เมื่อข้าพเจ้าผู้มีศีลได้รับความลำบากอยู่เช่นนี้เหตุไรท่านจึงไม่ให้ฝนตก ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดที่จะต้องกินสัตว์ด้วยกันเป็นอาหารก็จริง แต่ข้าพเจ้าไม่เคยกินสัตว์อื่น มีปลาเล็กปลาน้อยเป็นต้นเลย ไม่เคยทำร้ายชีวิตสัตว์แม้แต่ครั้งเดียวด้วยคำสัตย์นี้ ขอท่านจงบันดาลให้ฝนตกยกพวกญาติของข้าพเจ้าให้พ้นจากทุกข์เถิด ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า

อภิตฺถนย   ปชฺชุนฺน      นิธึ   กากสฺส   นาสย

กากํ   โสกาย   รนฺเธหิ   มญฺจ   โสภา   ปโมจยาติ

            แปลว่า ข้าแต่ท้าวปชุนนะ ท่านจงทำให้ฟ้าร้องบันดาลให้ฝนตกต้องทั่วท้องธรณี จงกระทำขุมทรัพย์ของกาให้พินาศ กล่าวคือ จงอย่าให้ฝูงกาเคี้ยวกินซึ่งปูปลาทั้งหลาย จงทำให้ฝูงกาเศร้าโศกเสียใจ และจงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความเศร้าโศกในบัดนี้ พอขาดคำนี้ลง ก็มีฝนห่าใหญ่ตกลงมา ด้วยสัจจวาทีของพญาปลานั้น ครั้นทรงแสดงเรื่องอดีตดังนี้แล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ปลาทั้งหลายในครั้งนั้นได้มาเกิดเป็นพุทธบริษัทของเราตถาคตในบัดนี้ ส่วนท้าวปชุนนเทวราชผู้ช่วยทำให้ฝนตก ได้เกิดมาเป็นพระอานนท์ ส่วนพญาปลานั้น ได้อุบัติมาเป็นเราตถาคตนี้แล ในชาดกนี้แสดงให้เห็นอำนาจของการประกาศความจริงให้เป็นได้ดังประสงค์ เหมือนอย่างเรื่องที่แสดงมาแล้วนี้  ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจรักษาความจริง อย่าเป็นคนเหลาะแหละเหลวไหล จะทำสิ่งใดให้ทำจริงก็จักได้ประสบซึ่งความสุขเห็นเป็นอัศจรรย์ ดังนี้

“ข้าแต่ฝน ขอท่านจงตกลงมาเถิด ขอจงทำลายขุมทรัพย์

ของกาเสียจงทำกาให้เศร้าโศก จงช่วยเปลื้องเราและ

พวกญาติ ๆ ให้พ้นจากความเศร้าโศกด้วยเถิด.

มัจฉาชาดกจบ.