๓๕. วัฏฏกชาดก (ว่าด้วยความจริง)

          สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงปรารภการยังไฟป่าให้ดับ แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟที่ไหม้ป่าซึ่งลุกลามมาถึงที่นี่แล้วดับไป จะดับไปเพราะกำลังแห่งเราตถาคตในบัดนี้หามิได้ ดับไปเพราะกำลังความสัจของเราในปางก่อนต่างหาก คือ ในสถานที่นี้ไม่มีไฟจะไหม้ได้ตลอดกัลป์หนึ่ง จึงแสดงเรื่องอดีตว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาลล่วงแล้วมาช้านาน มีกำหนดกาลในต้นภัททกัลป์นี้เป็นที่แน่นอน องค์สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ตัวเราตถาคตนี้ได้เกิดเป็นนกคุ่มตัวหนึ่ง อยู่ในเขตแคว้นแดนมคธราช พอออกจากท้องแห่งมารดาก็มีร่างกายใหญ่เท่าดุมเกวียน มารดาบิดาทั้ง ๒ ได้ให้นกคุ่มที่เป็นลูกนั้นนอนอยู่ในรังส่วนตัวได้ไปเที่ยวแสวงหาอาหารจากที่ต่าง ๆ มาเลี้ยงลูกในรัง ลูกนั้นยังไม่มีกำลังพอที่จะบินไปมาได้ และทั้งไม่มีกำลังพอที่จะเดินได้ ก็แลในป่านั้นมีไฟไหม้อยู่เสมอทุกปี อยู่มาวันหนึ่ง ได้บังเอิญไฟป่าไหม้ลุกลามมาจวนจะถึงที่นั้น บรรดานกทั้งหลายที่อยู่ในที่นั้นก็ได้พากันบินหนีไปด้วยความกลัวตาย ฝ่ายว่านกที่เป็นมารดาบิดาของนกคุ่มตัวนั้นก็ได้ทิ้งลูกหนีไปเสีย ด้วยความกลัวตายเหมือนกับนกทั้งหลาย ฝ่ายลูกนกคุ่มที่ยังนอนอยู่ในรังแต่ตัวเดียวได้ยกคอขึ้นจากรัง ได้แลเห็นไฟป่าไหม้ลุกลามมาจึงคิดว่าถ้าเรามีกำลังปีกหางพอบินได้เราก็จะได้บินหนีไปที่อื่นเสีย หรือ ถ้าเรามีกำลังเท้าพอจะเดินไปได้เราก็จะได้เดินไปเสียทางอื่น แต่ในบัดนี้ไม่มีกำลังปีกหางพอบินไปได้ ไม่มีกำลังเท้าพอจะเดินหนีไปได้ ส่วนมารดาบิดาทั้งสองของเราก็ทิ้งเราเสียแล้ว ได้บินหนีไปด้วยความกลัวตาย สิ่งอื่นจะเป็นที่พึ่งแก่เราเป็นอันไม่มีบัดนี้เราจะเป็นประการได ครั้นลูกนกคุ่มคิดถึงดังนี้แล้ว จึงระลึกถึงคุณแห่งศีลและแห่งสัจจวาจา ศีลและสัจจะทั้ง ๒ ประการนี้ ย่อมมีคุณประจำอยู่ในโลกในอดีตกาลที่ล่วงแล้วมา พระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งบำเพ็ญบารมี ๓๐ ประการให้บริบูรณ์แล้ว และเสด็จประทับที่โพธิบัลลังก์ ได้ตรัสรู้ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงบริบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสนะ ก็ล้วนแต่เป็นผู้ประกอบด้วยความสัจ มีพระหฤทัยเอ็นดู  สรรพสัตว์ประกอบด้วยพระเมตตา พระกรุณา พระขันติ คุณแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นมีอยู่เป็นอันมาก ส่วนความสัจก็มีคุณอันล้ำเลิศประการหนึ่ง เพราะเหตุนั้น ในวันนี้สมควรที่เราจะระลึกถึงพระสุคตเจ้าทั้งหลายที่ล่วงแล้วมา และสมควรระลึกถึงคุณแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สมควรจะตั้งสัตยาธิษฐานบันดาลให้ไฟดับไป เพื่อให้ตัวเรากับเหล่าลูกนกซึ่งมีอยู่ในรังที่ป่านี้รอดพ้นจากความตาย ครั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเรื่องนกคุ่มมาอย่างนี้แล้ว จึงตรัสต่อไปว่า    อตฺถิ   โลเก   สีลคุโณใ  เป็นต้น แปลว่า คุณแห่งศีล ๑ ความสัจ ๑ ความสงบเสงี่ยม ๑ ความเอ็นดูกรุณา ๑ ทั้ง ๔ อย่างนี้ย่อมมีอยู่ในโลก ลูกนกคุ่มคิดดังนี้แล้ว จึงคิดต่อไปว่าเราควรจะทำสัจจกิริยาด้วยความสัจอันนี้  ครั้นพิจารณาซึ่งกำลังแห่งพระธรรมและระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อนแล้ว ลูกนกคุ่มจึงกระทำสัตยาธิษฐานว่า

สันฺติ   ปกฺขา  อปตนา               สันฺติ   ปาทา   อวญฺจนา

มาตา   ปิตา   จ   นิกฺขนฺตา          ชาตเวท    ปฏิกฺกมาติ

          แปลว่า ปีกทั้งสองของเราก็มีอยู่แลแต่บินไม่ได้ เท้าทั้งสองของเราก็มีอยู่แต่เดินไม่ได้ อีกประการหนึ่ง มารดาบิดาทั้งสองของเราก็บินออกหนีไปจากรังเสียแล้ว ข้าแต่ไฟที่กำลังไหม้ขอท่านจงกลับไปในบัดนี้เถิด ดังนี้ เมื่อลูกนกคุ่มได้ทำสัตยาธิษฐานดังนี้แล้ว พอไฟไหม้มาถึงที่ใกล้อีก ๑๖ กรีสก็จะถึงที่อยู่ของลูกนกคุ่มนั้น ไฟนั้นก็หวนกลับไปแล้วดับลงในทันใด เหมือนกับคบเพลิงอันบุคคลจุ่มลงในน้ำฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงประชุมชาดกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นกคุ่มที่เป็นมารดาบิดาในครั้งนั้น ได้อุบัติมาเป็นพระเจ้าสุทโธทนมหาราชและพระนางสิริมหามายา ส่วนลูกนกคุ่มในครั้งนั้นได้อุบัติมาเป็นเราตถาคตนี้เอง.

“ปีกของเรามีอยู่ แต่ก็บินไม่ได้ เท้าทั้งสอง

ของเราก็มีอยู่ แต่ก็เดินไม่ได้ มารดาและบิดาของ

เราออกไปหาอาหารดูกรไฟ ท่านจงถอยกลับไปเสีย.

วัฏฏกชาดกจบ.