๖๒. อัณฑภูตชาดก (ว่าด้วยการวางใจภรรยา )

        พระบรมศาสดาได้ทรงปรารภภิกษุผู้มีความกระสันอีกรูปหนึ่ง แล้วจึงทรงแสดงชาดกนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสีท้าวเธอมีพระราชโอรสอยู่องค์หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในศิลปศาสตร์ทั้งปวงได้เสวยราชสมบัติแทนพระองค์ทรงพระนามว่าพรหมทัตเหมือนกัน พระเจ้าพรหมทัตผู้เป็นพระราชโอรสนั้น พอพระทัยทรงสกากับปุโรหิตาจารย์เสมอเป็นนิจ เวลาที่ท้าวเธอจะทรงเทลูกบาศก์ลงในแผ่นกระดาน ได้ทรงขับเพลงสกาเสียก่อนว่า

สพฺพา   นที  วคฺคตี          สพฺเพ      วฏฺฐมยา   วนา

สพฺพิตฺถิโย   กเร   ปาปํ            ลภมาเน   นิวาตเก

        แปลว่า  แม่น้ำทั้งปวงย่อมมีกระแสคดไปมา ป่าทั้งปวงย่อมมีไม้  หญิงทั้งหลายเมื่อได้ที่ลับแล้วมักทำความชั่ว ดังนี้

        ครั้นจบเพลงสกาดังนี้แล้ว ก็ทรงเทลูกบาศก์ทองคำลงในกระดานเงิน มีชัยชนะแก่ปุโรหิตาจารย์เสมอไป ฝ่ายปุโรหิตาจารย์เมื่อพ่ายแพ้เสียทรัพย์ย่อยยับลงไปเป็นลำดับจึงจับเหตุผลได้ว่า คงเป็นเพราะเพลงสกาที่พระมหากษัตริย์ขับนี้เองเราจึงพ่ายแพ้เสมอมา เราควรจะหักล้างซึ่งความจริงอันมีอยู่ในเพลงสกาของพระมหากษัตริย์ให้ได้ ครั้นคิดแล้วก็ถวายบังคมลากลับไปสู่นิวาสสถานของตน ในเวลาวันหนึ่งปุโรหิตนั้นได้พบสตรีมีครรภ์คนหนึ่ง พิจารณาเห็นว่าเด็กที่อยู่ในครรภ์ของสตรีนั้นจะเป็นหญิง จึงเรียกสตรีนั้นมาถาม ได้ความว่าเป็นหญิงอนาถา จึงให้หญิงนั้นมาอยู่ที่บ้านของตนเลี้ยงดูให้เป็นสุขสำราญ พอหญิงนั้นคลอดลูกแล้วก็ปรากฏว่าลูกเป็นหญิงเหมือนที่คิดไว้ จึงซื้อเด็กหญิงนั้นมาเลี้ยงไว้ในบ้านของตน ส่งหญิงมารดาให้ออกไปเสียจากบ้าน ต่อแต่นั้นมาปุโรหิตก็ได้จัดหาพี่เลี้ยงนางนมให้ประคบประหงมเลี้ยงดูเป็นอันดี จัดให้อยู่แต่บนปราสาท ๗ ชั้น มิให้เห็นบุรุษอื่นเลยตั้งแต่คลอดมา เมื่อทาริกานั้นเจริญวัยขึ้นจึงตั้งให้เป็นภรรยาของตน ลำดับแต่นั้นมาสองสามราตรีปุโรหิตอยากจะไปเล่นสกากับพระมหากษัตริย์ เพราะนับแต่ปุโรหิตได้นำหญิงมีครรภ์มาเลี้ยงไว้ในบ้านของตนแล้ว ก็มิได้ไปเล่นสกากับพระมหากษัตริย์เลยเพิ่งจะมีโอกาสในคราวนี้ แต่คราวนี้พระมหากษัตริย์ทรงทอดสกาก็ได้ขับเพลงไป ปุโรหิตก็ขับเพลงสกาแทรกว่า ฐเปตฺวา มาณวิกา เว้นไว้แต่นางมาณวิกาเท่านั้น ดังนี้ แล้วเทลูกบาศก์ลงไปก็ชนะพระมหากษัตริย์ทุกครั้ง

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงดำริว่า ในบ้านปุโรหิตเห็นจะมีสตรีซึ่งยังไม่เคยนอกใจสามีเป็นแน่นอน ครั้นทรงดำริแล้วจึงทรงสืบสวนดู ก็ได้ความว่าปุโรหิตนี้มีภรรยาสาวคนหนึ่ง และเพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ จึงโปรดให้หานักเลงหญิงคนหนึ่งเข้าเฝ้าตรัสเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วพระราชทานทรัพย์ให้สำหรับใช้จ่ายเป็นค่าซื้อของต่าง ๆ และเป็นค่าเสบียงอาหารแก่นักเลงหญิงคนนั้น แล้วตรัสสั่งว่า เจ้าจงไปทำลายศีลนางมาณวิกาภรรยาสาวของปุโรหิตคนนั้นให้จงได้ แล้วกลับมาบอกเราโดยเร็วพลัน

        นักเลงคนนั้นรับพระราชทานทรัพย์แล้ว ก็กราบถวายบังคมลาไปเที่ยวจัดหาซื้อสิ่งของต่าง ๆ มีเครื่องหอมและจุณ ธูป การะบูน เป็นต้น ได้แล้วก็ไปตั้งร้านขายเครื่องหอมอยู่ในที่ใกล้บ้านปุโรหิตนั้น

        ก็แลบ้านปุโรหิตนั้นมีกำแพงล้อมรอบ มีประตูเข้าออก ๗ แห่ง ล้วนแต่มีสตรีเป็นนายประตูทั้งนั้น เรือนของปุโรหิตนั้นก็เป็นปราสาท ๗ ชั้น บุรุษอื่นนอกจากปุโรหิตแล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะเข้าออกในบ้านได้ โดยที่สุดแต่คนใช้สำหรับเทหยากเยื่อก็เป็นสตรีทั้งนั้น อยู่มาวันหนึ่ง พี่เลี้ยงของนางมาณวิกาได้ออกไปซื้อเครื่องหอมภายนอกบ้าน ผ่านหน้าร้านของนักเลงนั้นไป พอนักเลงนั้นแลเห็นก็ตรงเข้ากอดเท้าแล้วทำเป็นร้องไห้ กล่าวว่า ข้าแต่มารดา ๆ ไปไหนมาจึงเพิ่งปรากฏวันนี้ ฝ่ายนักเลงทั้งหลายที่นักเลงคนนั้นนัดแนะไว้พร้อมกันก็ไปยืนมองดู แล้วต่างคนต่างกล่าวว่า บุตรกับมารดาคู่นี้ช่างเหมือนกันเป็นพิมพ์เดียว หญิงผู้นั้นรู้สึกดีใจบอกว่า มารดาไปเป็นคนรับใช้ของนางมาณวิกา ผู้มีรูปร่างกิริยาคล้ายนางกินรีซึ่งเป็นภรรยาแห่งปุโรหิตอยู่ในบ้านนี้ นักเลงคนนั้นจึงถามว่า เดี๋ยวนี้มารดาจะไปไหน ตอบว่าจะไปหาซื้อเครื่องหอมมีดอกไม้ เป็นต้น ไปให้แก่นางมาณวิกา นักเลงคนนั้นจึงตอบว่า มารดาอย่าไปซื้อที่อื่นเลยจงซื้อที่ร้านของบุตรนี้เถิด ว่าแล้วก็จัดเครื่องหอมไปให้เป็นอันมากโดยไม่คิดราคา เมื่อนางสาวใช้นั้นนำไปให้นางมาณวิกา ๆ ได้เห็นเครื่องหอมนั้นมากกว่าทุกวันจึงถามว่า วันนี่ท่านปุโรหิตให้ค่าเครื่องหอมมากกว่าทุกวันหรือ จึงตอบว่า หามิได้ แล้วเล่าให้ฟังว่าตนได้ซื้อมาจากร้านแห่งบุตรของตน รุ่งขึ้นวันหลังหญิงคนใช้นั้นก็ไปซื้อเครื่องหอมที่ร้านนักเลงนั้นอีก นักเลงคนนั้นก็อนุญาตให้เลือกเอาเครื่องหอมได้ตามชอบใจ ต่อมาอีก ๒-๓ วันนักเลงคนนั้นก็ทำเป็นไข้นอนอยู่ในร้าน เมื่อหญิงคนใช้นั้นออกไปซื้อเครื่องหอม ก็เข้าไปไต่ถามอาการว่าเจ็บไข้เป็นประการใด นักเลงคนนั้นจึงตอบว่า บอกไม่ได้ถึงจะบอกไปมารดาก็ช่วยไม่ได้จึงจำต้องยอมตายอยู่ในที่นี้ หญิงนั้นก็ตกใจอ้อนวอนถามแล้วถามเล่า ว่าจงบอกมารดามาเถิดเจ้าประสงค์สิ่งใดมารดาจะช่วยให้สมประสงค์ทุกอย่าง นักเลงนั้นก็บอกว่า นับแต่วันที่ข้าพเจ้าได้ฟังมารดาพูดถึงเรื่องรูปร่างภรรยาของปุโรหิตแล้ว ข้าพเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ ด้วยความเสน่หาจนถึงกับล้มเจ็บลง เช่นนี้ ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้ร่วมรักกับภรรยาท่านปุโรหิตสมประสงค์แล้ว ก็เห็นว่าจะตายเป็นแน่นอน หญิงนั้นจึงกล่าวว่า ของเช่นนี้ก็เห็นเป็นการยากทีเดียวหรือ มารดาจะช่วยให้สมประสงค์ ว่าแล้วก็รีบจัดเครื่องหอมเข้าไปให้นางมาณวิกา ครั้นไปถึงจึงแกล้งทำเป็นร้องไห้หมอบลงที่เท้านางมาณวิกา นางจึงถามว่า เหตุผลเป็นประการใดจึงได้ร้องไห้เช่นนี้ ตอบว่า เพราะมีเหตุอันลึกลับอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งถ้าแม้จะให้อภัยโทษก็จะบอกให้ทราบได้ นางมาณวิกาจึงตอบว่า เราจะให้อภัยโทษ มีเหตุผลอย่างไรจงบอกมาเถิด หญิงคนใช้นั้นจึงบอกว่า บัดนี้บุตรชายของข้าพเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหอม ได้ตรอมอกตรอมใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถึงกับเป็นไข้นอนอยู่ในร้านเพราะความรักใคร่ในแม่เจ้า ถ้าเขาไม่สมความรัก เห็นว่าจะตายเป็นแน่นอนเหตุผลมีอย่างนี้แหละ พระแม่เจ้าจะโปรดประการใด นางมาณวิกาจึงตอบว่า ถ้าช่วยให้เขาเข้ามาในที่นี้ได้เป็นต้องสมประสงค์ เมื่อสาวใช้ได้โอกาสอย่างนั้นแล้ว จึงออกปากไล่พวกเทหยากเยื่อไปเสียทีละคน ๆ แล้วตนเองทำการปัดกวาดหยากเยื่อลงใส่ตะกร้าใหญ่ออกไปเททิ้งนอกบ้าน ขากลับเข้ามา ก็นำเอาหยากเยื่อเชื้อฝอยอย่างอื่นใส่ตะกร้าใหญ่เข้ามาอีก เมื่อหญิงนายประตูจะตรวจดูก็ไม่ยอมให้ตรวจ พวกหญิงนายประตู ก็ปล่อยเข้าไปด้วยกลัวเกรงอำนาจของหญิงคนใช้นั้น เพราะเหตุว่าหญิงคนนั้นเป็นคนใกล้ชิดของนางมาณวิกา รุ่งขึ้นวันต่อมา หญิงคนนั้นให้นักเลงนั้นลงนั่งในตะกร้า แล้วเอาผ้าคลุมแบกขึ้นบ่าพาเข้าไปในบ้านของปุโรหิต นำขึ้นไปส่งถึงที่อยู่ของนางมาณวิกาในปราสาทชั้น ๗ แล้วส่วนตนก็รีบกลับลงมา ฝ่ายนักเลงคนนั้นก็ได้สำเร็จความรักใคร่กับนางมาณวิกาสมประสงค์แต่เฉพาะกลางวัน คือในเวลาปุโรหิตเข้าไปสู่พระราชวังเท่านั้น พอถึงเวลาเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่ปุโรหิตกลับมา ก็เข้าไปหลบซ่อนนอนในที่กำบังตนจนตลอดราตรี แต่ลอบร่วมประเวณีอยู่ดังนี้ถึง ๓ วัน นางมาณวิกาจึงบอกให้กลับออกไป นักเลงนั้นก็บอกว่า ข้าพเจ้าก็ยินดีจะกลับอยู่แล้วแต่อยากจะขอเขกศีรษะของปุโรหิตเสียก่อนจะช่วยได้หรือมิได้ประการใด นางตอบรับว่าได้ แล้วในเวลาปุโรหิตกลับจากที่เฝ้านางขอให้ปุโรหิตดีดพิณให้ฟัง เมื่อปุโรหิตดีดพิณนางก็ฉะอ้อนว่า ดิฉันฟังเสียงพิณแล้วรู้สึกเพลิดเพลินอยากจะเต้นรำเล่นให้สนุก แต่ยังละอายท่านอยู่แล้วนางให้ปุโรหิตเอาผ้าผูกตาดีดพิณปุโรหิตก็กระทำตาม  เมื่อดีดพิณไปสักครู่นางก็ขอเขกศีรษะเล่น ปุโรหิตก็อนุญาตให้ เมื่อนางจะเขกศีรษะก็ได้ให้อาณัติแก่ชายชู้ ๆ ก็ย่องออกมาถองศีรษะปุโรหิตลงเต็มแรง จนประหนึ่งว่าลูกตาของปุโรหิตจะทะเล้นออกจากกระบอกตาแล้วรีบเข้าไปซ่อนในที่เก่า ปุโรหิตรีบแก้ผ้าผูกตาออกตรวจดูมือของภรรยาทันทีว่าเหตุไรมือนางจึงแข็งนัก  แต่พอยื่นมือมานางก็ตวาดให้หดไป พอตกกลางคืนนางก็ให้สาวใช้นำชู้ออกไปส่งด้วยตะกร้าเหมือนอย่างเมื่อเข้ามา นักเลงนั้นก็รีบเข้าไปทูลเล่าเหตุการณ์แด่พระมหากษัตริย์แต่ต้นจนอวสาน รับพระราชทานรางวัลแล้วก็ทูลลา พอจวนรุ่งเช้าปุโรหิตก็เข้าไปเล่นสกากับพระมหากษัตริย์อีก ได้พ่ายแพ้พระมหากษัตริย์ทุกกระดานไปก็เกิดอัศจรรย์ใจจึงได้หยุดเล่นสกา พระมหากษัตริย์จึงตรัสว่า ดูก่อนปุโรหิต นางมาณวิกาของท่านได้ทำลายศีลของท่านเสียแล้ว คือ ใช้ให้ชายชู้ถองศีรษะของท่านด้วยศอกเสียแต่วานนี้แล้ว ครั้นตรัสโดยย่ออย่างนี้แล้วก็ตรัสว่า

ยํ   พฺราหฺมโณ   อวาเทสิ       วีณํ   สมฺมุขเวฐิโต

ณฺฑภูตา  ภตา   ภริยา      ตาสุ  โก   ชาตุ  วิสฺสเสติ

        แปลว่า พราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิตถูกภรรยาเอาผ้าผูกตา แล้วได้ดีดพิณอยู่ด้วยเหตุอันใดก็มิได้รู้ซึ่งเหตุอันนั้น ภรรยาอันพราหมณ์ผู้เป็นปุโรหิตนำมาเลี้ยงไว้แต่ยังอยู่ในครรภ์ยังนอกใจถึงเพียงนี้ ใครเล่าจะควรไว้วางใจในภรรยาได้ ดังนี้ ปุโรหิตรู้สึกพิศวงจึงรีบถวายบังคมลาออกจากปราสาทกลับไปสู่นิวาสสถานของตน ซักไซ้ไล่เลียงผู้คน และภรรยาสาวอยู่หลายอุบายก็ไม่ได้ความว่าภรรยามีชู้ จึงจัดการทำพิธีให้ภรรยาลุยเพลิง ฝ่ายภรรยาก็รับจะทำตาม แต่ได้บอกว่า นับแต่ข้าพเจ้าเกิดมามิได้พบเห็นบุรุษใดนอกจากตัวท่านปุโรหิต โดยที่สุดแม้แต่เพียงมือข้าพเจ้าก็ไม่เคยมีบุรุษอื่นมาได้สัมผัส ว่าแล้วนางก็ออกมาให้อาณัติสัญญาแก่หญิงสาวใช้ให้ไปลอบสั่งชายชู้ไว้ เพื่อทำการขัดขวางแก่พิธีลุยเพลิง รุ่งขึ้นวันหลังในเวลาที่นางจะวิ่งผ่านเข้าไปในกองเพลิงอันใหญ่ ซึ่งมีคนมุงดูกันอยู่เป็นอันมาก นักเลงนั้นก็รีบวิ่งออกไปจับมือนางไว้ นางนั้นก็สะบัดมือแล้วร้องบอกกล่าวขึ้นว่า บัดนี้มีชายมาจับมือข้าพเจ้าเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่สามารถจะลุยเพลิงเพื่อความบริสุทธิ์ได้ เมื่อปุโรหิตเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็รู้ทันว่าเป็นอุบาย จึงโบยตีนางมาณวิกานั้น แล้วขับไล่ให้ออกไปเสียจากบ้าน

        ครั้นเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาแสดงเรื่องอดีตอย่างนี้แล้ว ภิกษุนั้นก็ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระองค์จึงทรงประชุมชาดกว่า พระมหากษัตริย์ในครั้งนั้น คือ เราตถาคต นี้แล ดังนี้

“พราหมณ์ถูกภรรยาผูกหน้าให้ดีดพิณ ก็รู้ไม่ทันภรรยาที่ท่าน

นำมาเลี้ยงไว้แต่ยังไม่คลอด ใครจะวางใจในภรรยาเหล่านั้นได้.”

อัณฑภูตชาดกจบ.